วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

          วันนี้ขอเปลี่ยนแนวจากเรื่องของภาษาอังกฤษมาเป็น ปรัชญากันบ้าง และปรัชญาที่นำมาเสนอในวันนี้เป็นแนวการพิจารณาตามวิถีของ Tacit Knowledge หรือภาษาไทยเรียกกันว่า "ความรู้ซ่อนเร้น" อันนี้เกิดจากภายในตัวคน ของใครของมันเป็นความรู้ที่น่าจะนำออกมาเขียน ออกมาเผยแพร่ จะได้เกิดพลวัตรและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างกว้างขวาง หากเป็นแนวทางของผม ผมก็เรียกเรื่องแบบที่ว่านี่ว่าเป็นเรื่องของ "ปัญญาบารมี" นับเป็นการสร้างบุญที่ทรงคุณค่าอีกแบบหนึ่งนะครับๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
          ชื่อบทความในครั้งนี้ คือ "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์" ดูแล้วหลายคนคงจะ งง กันว่าทำไมผมนำเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของความรู้ซ่อนเร้น ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่รู้จักกันดี ผมมีเหตุผลของผมครับ คือ ผมกำลังนำเสนอประเด็น "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์"ในแนวทาง ของ ความรู้ซ่อนเร้นยังไงครับ ซึ่งเชื่อว่าท่านคงไม่เคยเจอแต่หากท่านเคยเจอแล้วก็ถือเสียว่าเป็นการตอกย้ำความรู้นี้นะครับ
          ความเชื่อทางพระพุทธสาศนาเท่าที่ผมศึกษาจากตำรา จากบุคคล และจากการพิจารณาใคร่ครวญด้วยตนเอง จะพบว่ามีหัวใจอยู่ที่ ศีล สมาธิ และปัญญา   อาจกล่าวง่ายๆตามแนวทางของผมคือ          
          ศีล  =  คิดดี พูดดี ทำดี  
          สมาธิ  =  นิ่งไม่ติงไหว เป็นกลาง ไม่โอนเอนไปข้างใดข้างหนึ่ง ยืนอยู่บนเหตุผล ปราศจากอคติ ไม่รักไม่เกลียด
          ปัญญา  =  อ๋อ  มันเป็นอย่างนี้นี่เอง  ปิ๊ง เข้าใจ ยอมรับโดยดุษฏี ทำใจได้ สว่างจ้า สติ

          แล้วทำไมมาเกี่ยวกับ "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์" ได้เล่า ก็ลองพิจารณาให้ดีนะครับ สามคำนี้ คือ คำในโลกปัจจบันที่พวกเราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พระพุทธคือ พระพุทธเจ้า ในปัจจุบันนี้มีองค์พระปฏิมาเป็นสัญญลักษณ์แทนไงครับ  พระธรรม ก็เป็นคำสอนที่เราๆท่านๆเรียนรู้ สดับตรับฟังกันอย่างตั้งใจบ้าง อย่างง่วงเหงาหาวนอนบ้าง จะสะดุ้งเบิกบานกันก็ตอนที่ท่านขึ้นคำว่า "ยะถาวะรีวะหา....." ก็หวังผลสำเร็จไงครับ ตอนนี้รีบนึกกันใหญ่ว่า "ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดขอให้สมความปรารถนา...." หลับบ้าง งีบบ้างยังขอกันได้มากมายขนาดนี้เลย  ณ ตรงนี้เองที่ผมกำลังจะบอกให้ทุกท่านทราบว่าแท้ที่จริง (ตามแนวคิดของผมเอง)
          พระพุทธ เปรียบได้ดั่ง ศีล 
               พระพุทธปฏิมาเป็นสัญญลักษณ์แห่งความดีทั้งมวล อันได้แก่ คิดดี ทำดี พูดดี ท่านสวยสง่างาม เปล่งปลั่ง มีรัศมีออร่าชนิดที่เรียกว่า ฉัพรรณรังสี ใครพบเห็นก็อิ่มเอิบไปด้วยบุญบารมีซึ่งล้วนเกิดจากความดีงามทั้งมวลอันได้แก่ คิดดี พูดดี ทำดีไงครับ
          พระธรรม เปรียบได้ดั่ง สมาธิ 
               พระธรรมคำสั่งสอนต่าง ๆ ล้วนเป็นเครื่องทำให้เรารู้จักการพิจารณาใคร่ครวญด้วยเหตุผล ทำให้มองทุกอย่างได้อย่างเข้าใจในความเป็นไปในธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ โดยปราศจากการ"ตีค่า ประเมินค่า" ด้วยความรู้สึกของตนเอง หากแต่ยึดหลักธรรมชาติ หลักเหตุและผล ก็นั่งนิ่ง ไม่ติงไหวใช้เหตุขผลพิจารณาใคร่ครวญครับ 
          พระสงฆ์ เปรียบได้ดั่ง ปัญญา
               เมื่อทำได้ เป็นได้ ทั้งสองอย่างด้านบนแล้ว คนเราแต่ละคนก็จะเกิดปัญญาได้อย่างง่ายดาย
ทั้งนี้เรามีความสามารถขนาดไหนเราก็ได้ปัญญามาเท่าที่ "เป็นตัวตนของเรา" ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ของใครของมัน ปัญญาบารมีจึงเป็นเสมือน "ตัวแปร" ที่ปรับเปลี่ยนไปได้ตามกำลัง ตามความสามารถ ตามความพากเพียรพยายามของ "ตน" ไงครับ พระสงฆ์จึงมีหลายรูปแบบหลายแนวทางหลายมุมมองตามแต่กำลังของตนๆที่จะนำมาซึ่งปัญญาแต่อย่าลืมว่า ปัญญา(พระสงฆ์) นี้เป็นผลแห่ง ศีล(พระพุทธ) สมาธิ(พระธรรม) นะครับ มิได้เกิดจากการ แก้บน การเลิกยาเสพติด การหนีคดีความ การอก การตกงาน การหารายได้พิเศษจากกิจนิมนต์ ฯลฯ นะครับ

          ท่านคิดเห็นอย่างไรก็อาจแสดงเหตุผลลงในกระดานท้ายนี้ได้นะครับ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนปัญญาบารมีให้แก่กัน ทั้งยังเป็นการสร้างความเข้าใจที่แตกต่างแต่เป้าหมายเดียวกัน คือ ความสุขสงบในชีวิต อันจะนำมาซึ่งความสุขสงบของสัมคมเราไงครับ
          ขอปัญญาบารมีที่บังเกิดในครั้งนี้จงส่งผลบุญแด่ คุณพ่อธนิต - คุณแม่ทัศนีย์ บุญยะกาพิมพ์ คุณเตี่ยชั้น - คุณแม่แซ รอดศิริ คุณครูบาอาจารย์ทุกๆท่าน เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายทั้งสิ้นทั้งมวล และท่านผู้อ่านทุกท่านครับ